ชาวมอญเป็นชนเผ่ามองโกลอยด์
มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตะวันตกของประเทศจีน ภาษามอญจัดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร (Mon-Khmer)
คนมอญเรียกตนเองว่า “รมัน” (Reman) แล้วจึงเพี้ยนมาเป็น “มอญ”
ส่วนชื่อประเทศของตนเองชาวมอญเรียกว่า “รามัญประเทศ” ส่วนคนพม่ามักเรียกมอญว่า “ตะเลง”
ชาวมอญอพยพจากประเทศจีนลงมาทางใต้
แล้วตั้งอาณาจักรขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิรวดีในบริเวณพม่าตอนล่าง ตลอดช่วงระยะเวลากว่า
๗๐๐ ปีของอาณาจักรนั้น ชาวมอญต้องทำศึกกับพม่าอยู่เสมอ
จึงได้พากันทยอยอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในประเทศไทย
ดังปรากฏหลักฐานในจารึกโบราณว่า
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ชนชาติปยู (Pyu)
ตั้งอาณาจักรอยู่ ณ ลุ่มแม่น้ำอิรวดีซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองแปรในปัจจุบัน
อาณาจักรปยู ก็คือ อาณาจักรศรีเกษตร อยู่ทางทิศตะวันตกของอาณาจักรทวารวดี
มีชนชาติพม่าตั้งอาณาจักรอยู่ทางตอนเหนือ และชนชาติมอญตั้งอาณาจักรอยู่ทางตอนใต้
ชาวปยูนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
อาณาจักรปยูเจริญรุ่งเรืองอยู่ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ก็เริ่มเสื่อมอำนาจลง
ระหว่างนั้นเองพม่าได้เริ่มมีความสัมพันธ์กับมอญ
พร้อมทั้งรับเอาอารยธรรมความเจริญต่างๆ ของมอญไว้ด้วย รวมถึงการนับถือพระพุทธศาสนา
และการใช้ตัวอักษรบันทึกเรื่องราวต่างๆ
ซึ่งมอญได้รับถ่ายทอดมาจากอินเดียอีกต่อหนึ่ง
อาณาจักรปยูเสื่อมอำนาจลงและเคลื่อนย้ายถิ่นไป
อาณาจักรมอญซึ่งอยู่ทางตอนใต้ก็ได้ขยายอาณาเขตออกไปทางทิศตะวันตก
มีศูนย์กลางอาณาจักรอยู่ที่เมืองพะโค หรือหงสาวดี
อาณาเขตของมอญในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๔ นี้ น่าจะครอบคลุมไปถึงบริเวณตลอดชายฝั่งทะเลของอ่าวเมาะตะมะ
และทะเลอันดามัน
ศูนย์กลางแห่งความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมมอญในระหว่างพุทธศตวรรษที่
๑๑ ถึงก่อนสร้างเมืองพะโคในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ นั้น
ไม่ได้อยู่ในบริเวณตอนใต้ของอาณาจักรปยูและพม่า
หลักฐานที่ได้ในการขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณภาคกลางของประเทศไทยปัจจุบันแถบจังหวัดราชบุรี
นครปฐม สุพรรณบุรี ลพบุรี และนครสวรรค์ ทำให้ทราบได้แน่ชัดว่า
บริเวณดังกล่าวเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรทวารวดี มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอู่ทอง
จังหวัดสุพรรณบุรี
เนื่องจากได้พบจารึกภาษามอญโบราณในภูมิภาคต่างๆ
ของอาณาจักรทวารวดี
จึงเชื่อได้ว่าในอาณาจักรทวารวดีมีกลุ่มชนที่ใช้ภาษามอญกระจายอยู่ทั่วไป
ความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติมอญในอาณาจักรทวารวดีกับชนชาติมอญที่ตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณตอนใต้ของอาณาจักรปยูในระหว่างพุทธศตวรรษที่
๑๑-๑๔ น่าจะเป็นในฐานะที่มีเชื้อชาติเดียวกันเท่านั้น
แต่ต่างแยกการปกครองตนเองเป็นกลุ่มเมืองใหญ่น้อย มีความสัมพันธ์ต่อกันภายใต้อารยธรรม
ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ชนชาติมอญเป็นกลุ่มชนใหญ่ที่นับถือพระพุทธศาสนา
มีการดำรงชีวิต และขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
ปลายพุทธศตวรรษที่
๑๔ เป็นต้นมา ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗ กลุ่มชนชาติมอญแถบลุ่มแม่น้ำสะโตง
หรือมอญที่อยู่ตอนใต้ของอาณาจักรปยูได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เมืองพะโค หรือหงสาวดี
เป็นศูนย์กลางของอาณาจักร และมีความสัมพันธ์กับพม่ามากขึ้น
ส่วนชนชาติมอญทางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานั้น
ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ได้เคลื่อนย้ายขึ้นไปทางตอนเหนือจนถึงลุ่มแม่น้ำปิง
และได้สร้างเมืองหริภุญไชยสืบต่อกันมาโดยลำดับ
จนถึงพุทธศตวรรษที่
๑๙ พระยายีบา กษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรหริภุญไชยได้เสียอำนาจการปกครองให้แก่พระยามังรายแห่งอาณาจักรล้านนาในปี
พ.ศ. ๑๘๓๙ ตามจารึกวัดเชียงมั่น
อาณาจักรหริภุญไชยจึงสิ้นสุดลงนับแต่นั้นเป็นต้นมา
สะเทิม (Thaton) ทวันเท (Twante) ทะละ (Dala)
และ หงสาวดี (Pegu)
แต่ละเมืองเป็นอิสระต่อกัน
และสร้างสมอารยธรรมมากมาย โดยเฉพาะเมืองสะเทิม ที่มีความเจริญยิ่งกว่าอาณาจักรใดๆ
ในบริเวณใกล้เคียง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ในด้านวัฒนธรรม ศาสนา และการค้า
หากแต่อารยธรรมมอญกลับไปเจริญรุ่งเรืองเหนืออิทธิพลพม่า
โดยพระเจ้าอนิรุธ (Anawrahta – พ.ศ.๑๕๘๗ –
๑๖๒๐) ได้กวาดต้อนนักปราชญ์ราชบัณฑิต และช่างฝีมือจากสะเทิมไปยังพุกาม
อารยธรรมมอญจึงได้หล่อหลอมเป็นศิลปวัฒนธรรมของพม่า ทั้งในด้านการปกครอง ศาสนา ภาษา
และสถาปัตยกรรม
ในปี
พ.ศ. ๑๘๓๐ พระเจ้าฟ้ารั่ว หรือ วาเรรุ (Wareru) ได้กอบกู้เอกราชแห่งอาณาจักรมอญ และสถาปนาราชวงศ์ชาน-ตะเลง (Shan
– Talaing) ขึ้น อาณาจักรมอญในสมัยนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่เมาะตะมะ
ในปี พ.ศ.๑๙๑๒ ได้มีการย้ายเมืองหลวงจากเมาะตะมะไปยังหงสาวดี
เพื่อให้ปลอดภัยจากการโจมตีของไทย ราชวงศ์ชาน-ตะเลงได้ปกครองสืบต่อมาจนถึง
พ.ศ.๒๐๘๗
ในปี พ.ศ.๒๐๘๒
ราชวงศ์ตองอูของพม่าเข้ามารุกรานและรวมอาณาจักรมอญเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่าอีกครั้ง
ในรัชสมัยของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้
(Tabinshwehti พ.ศ.๒๐๗๔ – ๒๐๙๓) ทรงมีนโยบายที่สมานไมตรีกับมอญ
และรวมมอญกับพม่าเข้าเป็นชาติเดียวกัน ถึงกับทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่หงสาวดี
และรับอารยธรรมต่างๆ จากมอญมาใช้ในพม่า
หากเมื่อสิ้นรัชกาล
กษัตริย์พม่าองค์ต่อๆ มาปกครองมอญอย่างกดขี่ ทั้งเรื่องภาษี และการเกณฑ์แรงงานในยามสงบและยามสงคราม
จนที่สุดในปลายราชวงศ์ตองอู เมื่อพม่าต้องเผชิญศึกฮ่อและไทย
มอญก็รวบรวมกำลังและประกาศอิสรภาพอีกครั้งใน พ.ศ.๒๒๘๓ โดยมี สมิงทอพุทธเกษ (Sming
Htaw Buddhaketi พ.ศ.๒๒๘๓ – ๒๒๙๐) เป็นหัวหน้า
ในพ.ศ.๒๒๙๐
พระยาทะละ (Binnya Dala พ.ศ.๒๒๙๐ – ๒๓๐๐) ได้ครองอำนาจต่อจากสมิงทอ และพ่ายแพ้ต่อพม่าคือ พระเจ้าอลองพญา
ซึ่งตีกองทัพมอญจนแตกพ่ายต้องถอยออกจากที่มั่นทางเหนือ พระเจ้าอลองพญายังได้ยกทัพตามลงมาปราบมอญจนถึงหงสาวดี
และได้มอญไว้ในอำนาจโดยเด็ดขาดในปี พ.ศ.๒๓๐๐ มอญถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของพม่านับแต่นั้น
มิได้กลับฟื้นฟูชาติมอญขึ้นได้อีกจนปัจจุบัน
อาณาจักรมอญมีความสำคัญต่อพม่าอย่างมากทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง
เนื่องจากตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มที่อุดมสมบูรณ์
มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศทางทะเล
จึงเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของพม่า
นอกจากนี้มอญยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
ด้วยตั้งอยู่ระหว่างไทยกับพม่าซึ่งเป็นศัตรูกัน
พม่าได้อาศัยเมืองมอญเป็นฐานทัพและเส้นทางการเดินทัพเข้ามารบกับไทย
และยังอาศัยระดมพลกับเสบียงอาหารเข้าร่วมในกองทัพเพื่อทำสงครามด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น